ช้าพลู
ชื่อสมุนไพร
| ช้าพลู |
ชื่ออื่นๆ
| ผักอีเลิด (อีสาน) นมวา (ภาคใต้) ผักปูนา ผักพลูนก พลูลิง ผักอีไร (เหนือ) ผักแค |
ชื่อวิทยาศาสตร์
| Piper sarmentosum Roxb. |
ชื่อพ้อง
| Piper albispicum C. DC., P. baronii C. DC., P. brevicaule C. DC., P. lolot C. DC., P. pierrei C. DC., P. saigonense C. DC. |
ชื่อวงศ์
| Piperaceae |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มเตี้ย เป็นไม้พันอาศัย หรือเถาทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ปลายยอดตั้งขึ้น ลำต้นสีเขียวกลม มีข้อเป็นปม สูง 30-80 เซนติเมตร มีไหลงอกเป็นต้นใหม่ได้ ใบมีกลิ่นหอมเฉพาะ ต้นและใบมีรสเผ็ดซ่าเล็กน้อย ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร สีเขียวเข้ม ผิวใบเป็นมันลื่น แผ่นใบบาง หลังใบและท้องใบเรียบ ตัวใบรูปหัวใจ ตัวใบตามยอดรูปขอบขนาน โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลม ตอนล่างของลำต้น ขอบใบเรียบ ด้านหลังใบมีขนตามเส้นใบ มีเส้นแขนงใบ 7 เส้น เห็นชัดเจน ใบช่วงล่างใหญ่กว่าใบยอดกิ่ง ก้านใบยาว 1-3 เซนติเมตร ดอก เป็นช่อออกตามซอกใบและตามปลายยอด ดอกขนาดเล็กอัดเรียงกันเป็นช่อรูปทรงกระบอก ตั้งตรง ปลายมน คล้ายดอกดีปลีแต่สั้นกว่า ดอกย่อยแยกเพศ ช่อดอกตัวเมียยาว 6-8 มิลลิเมตร ช่อดอกตัวผู้ยาว ก้านช่อดอกยาว 1-2.5 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็กมากกลีบดอกสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตรผล เป็นผลสดสีเขียวเป็นกลุ่ม ลักษณะกลม ผิวมัน อัดกันแน่นอยู่บนแกน เมล็ดมีขนาดเล็ก ชอบขึ้นตามที่ชื้นบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ หรือที่ร่มรำไร ออกดอกและติดผลราวเดือนมีนาคมถึงกันยายน ใบรับประทานเป็นผัก มีเบตาแคโรทีนสูง หรือใช้ห่อรับประทานกับเมี่ยงคำ
ไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มเตี้ย เป็นไม้พันอาศัย หรือเถาทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ปลายยอดตั้งขึ้น ลำต้นสีเขียวกลม มีข้อเป็นปม สูง 30-80 เซนติเมตร มีไหลงอกเป็นต้นใหม่ได้ ใบมีกลิ่นหอมเฉพาะ ต้นและใบมีรสเผ็ดซ่าเล็กน้อย ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 7-15 เซนติเมตร สีเขียวเข้ม ผิวใบเป็นมันลื่น แผ่นใบบาง หลังใบและท้องใบเรียบ ตัวใบรูปหัวใจ ตัวใบตามยอดรูปขอบขนาน โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลม ตอนล่างของลำต้น ขอบใบเรียบ ด้านหลังใบมีขนตามเส้นใบ มีเส้นแขนงใบ 7 เส้น เห็นชัดเจน ใบช่วงล่างใหญ่กว่าใบยอดกิ่ง ก้านใบยาว 1-3 เซนติเมตร ดอก เป็นช่อออกตามซอกใบและตามปลายยอด ดอกขนาดเล็กอัดเรียงกันเป็นช่อรูปทรงกระบอก ตั้งตรง ปลายมน คล้ายดอกดีปลีแต่สั้นกว่า ดอกย่อยแยกเพศ ช่อดอกตัวเมียยาว 6-8 มิลลิเมตร ช่อดอกตัวผู้ยาว ก้านช่อดอกยาว 1-2.5 เซนติเมตร ดอกย่อยมีขนาดเล็กมากกลีบดอกสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตรผล เป็นผลสดสีเขียวเป็นกลุ่ม ลักษณะกลม ผิวมัน อัดกันแน่นอยู่บนแกน เมล็ดมีขนาดเล็ก ชอบขึ้นตามที่ชื้นบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ หรือที่ร่มรำไร ออกดอกและติดผลราวเดือนมีนาคมถึงกันยายน ใบรับประทานเป็นผัก มีเบตาแคโรทีนสูง หรือใช้ห่อรับประทานกับเมี่ยงคำ

ลักษณะวิสัย

ใบ

ดอก และ ผล
ผลอ่อน และ ใบ
ผลแก่
สรรพคุณ:
ตำรายาไทยใช้ ทั้งต้น รสเผ็ดร้อน ขับเสมหะ แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร แก้ไอ แก้หวัด ใบ รสเผ็ดร้อน เป็นยาขับลม ช่วยเจริญอาหาร ทำให้เลือดลมซ่าน ขับเสมหะ แก้เบาหวาน ราก รสร้อน ขับเสมหะ บำรุงธาตุ ขับลมในลำไส้ ราก ผล และใบ ทำให้ร่างกายอบอุ่น แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร รักษาอาการปวดกระเพาะเนื่องจากความเย็นพร่องในธาตุ แก้ธาตุน้ำพิการ แก้ไอเย็น ขับเสมหะ แก้บวมน้ำ แก้ไข้จับสั่น แก้ปวดฟัน ปวดกระดูกเนื่องจากลมชื้นติดเกาะ แก้ฟกช้ำ ใช้ภายนอก รักษาขาเน่าขาเปื่อย ผล รสเผ็ดร้อน แก้เสมหะที่คอ ทำให้เสมหะแห้ง ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร
ยาสมุนไพรพื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานีใช้ รากและใบ กินสด ช่วยขับลม
องค์ประกอบทางเคมี:
การแยกสารบริสุทธิ์จากสารสกัดใบช้าพลูด้วยปิโตรเลียมอีเทอร์ ได้สารประกอบ hydrocinnamic acid (1) และ β- sitosterol (2) โดยเปรียบเทียบกับสารมาตรฐานที่ทราบโครงสร้างแล้ว (น้อย และก้าน, 2526)
สารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากผลช้าพลู ประกอบด้วย amides 8 ชนิด ได้แก่ pellitorine (1), guineensine (2), brachystamide B (3), sarmentine (4), brachyamide B (5), 1-piperettyl pyrrolidine (6), 3’,4’,5’-trimethoxycinnamoyl pyrrolidine (7) และ sarmentosine (8) สาร lignans 2 ชนิด ได้แก่ (+)-asarinin (9) และ sesamin (10)และองค์ประกอบอื่น 4 ชนิด ได้แก่ 1-(3,4-methylenedioxyphenyl)-1E-tetradecene (11), methyl piperate (12) ส่วนผสมของ β-sitosterol (13) และ stigmasterol (14) (Rukachaisirikul, et al., 2004)
การศึกษาทางเภสัชวิทยา:
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
การทดสอบฤทธิ์ลดปวด และต้านการอักเสบของสารสกัดน้ำจากใบช้าพลู ในสัตว์ทดลอง โดยฤทธิ์ลดปวดทดสอบด้วยวิธี writhing test (ใช้กรดอะซิติกเหนี่ยวนำเกิดการหดตัวช่องท้องของหนูถีบจักรเพศผู้) และวิธี hot plate (โดยจับเวลาที่หนูถีบจักร สามารถทนอยู่บนแผ่นความร้อน โดยสังเกตจากพฤติกรรมการเลียเท้า หรือกระโดดหนีความร้อน) ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ดูผลการยับยั้งการบวมที่อุ้งเท้าหนูขาวสายพันธุ์ Sprague–Dawley เมื่อเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน (carrageenan-induced paw edema assay) ผลการทดสอบฤทธิ์ลดปวดพบว่าเมื่อฉีดสารสกัดสมุนไพรเข้าใต้ผิวหนังหนูสามารถลดการปวดได้ทั้ง 2 วิธีการทดสอบ ฤทธิ์ลดปวดด้วยวิธี writhing testของสารสกัดใบช้าพลูขนาด 300 mg/kg และสารมาตรฐาน acetylsalicylic acid (ASA; 100 mg/kg) มีค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 61.6 และ 76.6% ตามลำดับ และเมื่อให้สารสกัดสมุนไพรร่วมกับ naloxone ในขนาด 5 mg/kg พบว่าฤทธิ์ระงับปวดถูกยับยั้งได้ด้วยนาลอกโซน โดยพบว่าค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเท่ากับ 1.4% แสดงว่ากลไกการออกฤทธิ์ระงับปวดของสมุนไพร น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวรับ opioidการทดสอบให้ผลเช่นเดียวกันในวิธี hot plate ธีการทดลองใช้คาราจีนินเหนี่ยวนำให้เกิดการบวมของอุ้งเท้าในหนู พบว่าการให้สารสกัดขนาด 100 และ 300 mg/kg ทั้งสองขนาดมีฤทธิ์ลดการบวมของอุ้งเท้าหนูได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Zakaria, et al., 2010)
ฤทธิ์ขับลม คลายกล้ามเนื้อ
จากการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช้าพลู ต่อลําไส้ส่วนอิเลียมของ หนูตะเภา และกล้ามเนื้อกระบังลมของหนูขาวที่ถูกแยกออกมาจากสัตว์ทดลอง โดยใช้สารที่ได้จากการสกัดช้าพลูด้วยเมทานอล พบว่าสารสกัดช้าพลูมีผลทําให้ความแรงและความถี่ในการหดตัวของลําไส้เพิ่มขึ้น โดยที่การตอบสนองของลําไส้จะเพิ่มมากขึ้นตามขนาดของสารสกัดที่ใช้ในการทดลอง (0.3, 1.0 และ 3.0 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) และถูกต้านฤทธิ์ได้เพียงเล็กน้อยด้วยอะโทรปีนในขนาด 2.2x10-6 โมลต่อลิตร ส่วนผสมของสารสกัดช้าพลูต่อกล้ามเนื้อกระบังลมจะทําให้เกิดการตอบสนองเป็น 2 ระยะ โดยเริ่มด้วยการกระตุ้นแล้วตามด้วยการกด การหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมในระยะต่อมา พวกโคลิเนอร์จิก และมีฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อกระบังลมคล้ายยากลุ่ม depolarized larized blocker ผลการทดลองนี้สนับสนุนข้อมูลการใช้ช้าพลูเป็นยาขับลมและยาคลายกล้ามเนื้อ (เมธี และคณะ, 2531)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์
ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดใบช้าพลู สกัดใบช้าพลูแห้งด้วยการหมัก โดยตัวทำละลายชนิดต่างๆ คือ petroleum ether, hexane, dichloromethane, ethyl acetate และ methanol ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ใช้วิธี DPPH (2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl) และ วิธี Ferric Reducing Antioxidant Power (FRAP) การทดสอบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์และฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ ใช้วิธี Ames test ในเชื้อแบคทีเรียSamonella typhimurium 2 สายพันธุ์คือ TA98 และ TA100 ผลการวิจัยพบว่า วิธี DPPH สารสกัด hexane มีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันดีที่สุด โดยให้ค่า EC50 เท่ากับ 29.63±0.56 μg/mL และ วิธี FRAP สารสกัด methanol ให้ฤทธิ์ดีที่สุด ค่า Fe (II) equivalent เท่ากับ 0.56±0.12 μmol/mg สารสกัดใบชะพลูไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และสารสกัด dichloromethane มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ในการทดสอบโดยวิธี Ames test ได้ดีที่สุดในทั้งสองสายพันธุ์ จากงานวิจัยในหลอดทดลองครั้งนี้สรุปได้ว่า สารสกัดจากช้าพลูมีศักยภาพในการนำมาศึกษาต่อเพื่อที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกายได้ (พัชรินทร์ และคณะ, 2557)
ฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum (K1, multidrug resistant strain) ในหลอดทดลอง ของสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากผลช้าพลู ผลการทดสอบพบว่าสารกลุ่ม amide ได้แก่ sarmentine , 1-piperettyl pyrrolidine มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย P. falciparum โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 18.9 และ 6.5 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (Rukachaisirikul, et al., 2004)
ฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรค
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรค ด้วยวิธี Microplate Alamar Blue Assay (MABA) ผลการทดสอบสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากผลช้าพลู พบว่าสารกลุ่ม amide ได้แก่ sarmentine, 1-piperettyl pyrrolidine, ยามาตรฐาน isoniazid และ kanamycin มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อวัณโรค โดยมีค่า MIC เท่ากับ 100, 50, 0.05 และ 2.5 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ ในขณะที่ pellitorine, guineensine, brachyamide B, sarmentosine และ 1-(3,4-methylenedioxyphenyl)-1E-tetradecene มีฤทธิ์รักษาวัณโรคอย่างเดียว โดยมีค่า MIC เท่ากับ 25 , 50 , 50 , 200 และ 25 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ (Rukachaisirikul, et al., 2004)
การศึกษาทางพิษวิทยา:
ผลต่อความเสียหายของโครโมโซม ของเซลล์ไขกระดูกของหนูขาว
การศึกษาพิษของสารสกัดน้ำของต้นช้าพลูในการชักนําให้เกิดไมโครนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดแดงชนิด Polychromatic ในไขกระดูก ทําโดยให้สารสกัดช้าพลูในขนาด 1,5 และ 10ก./กก.น้ำหนักตัว ทางปากกับหนูขาวพันธุ์วิสตาร์เพศผู้โตเต็มวัยในแต่ละกลุ่ม จากนั้นฆ่าหนูด้วยอีเทอร์ที่ 30 ชั่วโมงหลังได้รับสารทดสอบ และเก็บตัวอย่างจากไขกระดูกหนู นอกจากนี้สําหรับหนูที่ได้รับสารในปริมาณ 10 ก./กก.น้ำหนักตัวทางปาก เก็บตัวอย่างจากไขกระดูกหนูเพิ่มเติมที่ 24, 48 และ 72 ชั่วโมง หลังได้รับสารสกัด หลังจากฆ่าหนูแล้วเก็บเซลล์ไขกระดูกมาย้อมสี และนับจํานวนเม็ดเลือดแดงชนิดโพลิโครมาติก (Polychromatic erythrocytes; PCE) ที่มีไมโครนิวเคลียสจากจํานวนเซลล์ PCE 2000 เซลล์ต่อหนู 1 ตัว และนับจํานวนเม็ดเลือดแดง 400 เซลล์เพื่อหาอัตราส่วนระหว่าง PCE : Normochromatic erythrocytes (NCE) ผลการทดลองแสดงว่า สารสกัดช้าพลูแม้มีขนาดสูงถึง 10 ก./กก. น้ำหนักตัว ไม่มีผลในการชักนําให้เกิดไมโครนิวเคลียสกับเซลล์ PCE ในไขกระดูกของหนูในทุกช่วงเวลาที่กําหนด เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับน้ำเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ค่า PCE : NCE ratio ของหนูที่ได้รับสารสกัดช้าพลูในขนาดต่างๆ และในทุกช่วงเวลาที่กําหนด ก็ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ กับหนูกลุ่มที่ได้รับน้ำอย่างเดียวเช่นเดียวกัน ซึ่งผลการทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า สารสกัดช้าพลูในขนาดที่ให้หนูนั้นไม่มีผลทําให้เกิดความเสียหายต่อโครโมโซมของเซลล์ไขกระดูก และไม่มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์ เมื่อทดสอบโดยวิธีดูไมโครนิวเคลียส (ปรานอม และคณะ, 2547)
ข้อควรระวัง:
ใบช้าพลูสด มีผลึกแคลเซียมออกซาเลตสูง ไม่ควรรับประทานมากเกินไป หรือไม่ควรกินเป็นประจำ จะทำให้เวียนศีรษะ และอาจทำให้เกิดนิ่วในไต หรือทางเดินปัสสาวะได้
เอกสารอ้างอิง:
1. น้อย เนียมสา, ก้าน จันทร์พรหมมา. การศึกษาสารเคมีจากชะพลู Piper sarmentosum Roxb. วารสารสงขลานครินทร์. 2526;5(2):151-152.
2. ปรานอม ภูชฎาภิรมย์, ปัญญา เต็มเจริญ, สุรพล คงทิม, ลักขณา หิมะคุณ, ยุวดี วงษ์กระจ่าง, เพ็ญโฉม พึ่งวิชา และคณะ. ผลของสารสกัดช้าพลู (Piper sarmentosum) ที่มีต่อความเสียหายของโครโมโซม ของเซลล์ไขกระดูกของหนูขาวทดสอบโดยวิธีดูไมโครนิวเคลียส. วารสารสมุนไพร. 2547;11(1):11-19.
3. พัชรินทร์ บุญหล้า, เมธิน ผดุงกิจ, อุดมศักดิ์ มหาวีรวัฒน์, ธิดารัตน์ สมดี.ฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน และฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดใบชะพลู.วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน 2557;10(3):283-294.
4. เมธี สรรพานิช , มาลินี พงษ์มารุทัย, วิบูลย์ ฤทธิทิศ. การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของชะพลู. วารสารสงขลานครินทร์. 2531;10 (3):305-312.
5. RukachaisirikulT, Siriwattanakit P, Sukcharoenphol K, Wongvein C, Ruttanaweang P, Wongwattanavuch P,et al. Chemical constituents and bioactivity of Piper sarmentosum. J Ethnopharmacology.2004;93:173-176.
6. ZakariaZA, PatahuddinH, Mohamad AS, Israf DA, Sulaiman MR. In vivo anti-nociceptive and anti-inflammatory activities of the aqueous extract of the leaves of Piper sarmentosum. Journal of ethnopharmacology. 2010;128:42-48.
ตัวอย่างพรรณไม้แห้ง : www.thaiherbarium.com
ข้อมูลเครื่องยา : www.thaicrudedrug.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น